บทที่ 1 จุดอ่อนของการเชื่อมต่อ
การค้นหาปัญหาที่แท้จริงทางเทคนิคนั้น คุณต้องมองเข้าไปในกระจก
ลองมองดูถึงประสิทธิภาพของรถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นสามารถทำเวลาจาก 0 – 96 Km/h ต่ำกว่า 3 วินาที ซึ่งความเร็วระดับนี้สามารถสู้กับรถ Supercar แรงๆ ได้ไม่ยากนัก และเป็นที่น่าสังเกตว่า เทคโนโลยีของรถนั้นจะเริ่มทิ้งห่างทักษะในการขับขี่ไกลออกไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะค้นหาจุดอ่อนของการเชื่อมต่อกันระหว่างนักขับกับตัวรถนั้น ต้องเริ่มจากตัวนักขับซึ่งต้องเป็นนักขับที่เก่ง ทำได้โดยการเข้าใจและพัฒนาความรู้ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณเป็นนักขับที่ดีขึ้น แต่ยังทำให้คุณขับขี่ได้สนุกขึ้นด้วย เมื่อคุณขึ้นนั่งบนรถรุ่นใหม่ล่าสุดและดีที่สุดจาก ญี่ปุ่น เยอรมันนี อิตาลี หรือ อเมริกา มันจำเป็นที่จะต้องมีทักษะการขับขี่พิเศษ
วิธีการขับขี่ของผมนั้น ต้องใช้มากกว่าความรู้พื้นฐานทางร่ายกายในการขับขี่ เพราะว่าทักษะทางกายของนักขับจะไม่มีความหมายเลย ถ้าเขาตัดสินใจผิดพลาด พูดอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าคุณจะขับขี่ได้ดีแค่ไหนที่ความเร็ว 160 Km/h คุณจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่ๆ ถ้าคุณขับมันในเขตโรงเรียน มันไม่เพียงพอหรอกที่จะรู้แค่ว่า จะบิดคันเร่งยังไง คุณจะต้องเรียนรู้ว่าที่ไหนและเมื่อไหร่ ที่ควรจะใช้มัน
นักขับนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกำหนดประสิทธิภาพของรถ สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของผมที่จะยืนยันเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ต้องย้อนกลับไปปี 1985 ในการแข่ง WERA 24-Hours ที่สนาม Willow Spring Dennis Smith ซึ่งเป็นเจ้าของ Cycle Tune Shop ได้ให้ผมขับ Billy Foster ซึ่งมีพื้นฐานมากจาก Yamaha FZ750 เป็นรถที่ดีที่สุดคันหนึ่งในเวลานั้น ในช่วงเวลาก่อนเที่ยงคืน ผมอยู่ในสนามขับผ่านความมืดด้วยความเร็วทีสูงมากเกินกว่ามนุษย์คนนึงจะเคยไปถึง ประมาณ 10 นาทีในช่วงเวลานั้น รถ FJ600 ก็ ขับแซงผมไป และทิ้งห่างออกไป ก่อนที่ผมจะเข้าพิต เพื่อจะเปลี่ยนให้คนในทีมมาขับต่อ ผมโดนน๊อครอบอีกครั้งโดย FJ คันเดิม ซึ่งรถคันนั้นเห็นได้ชัดว่าสมรรถนะต่ำกว่า FZ ของเรา และก็เซ็ตรถมาแย่กว่า ผมคิดมาตลอดว่ารถที่แรงม้ามากกว่าและมีการเตรียมมาดีกว่าจะต้องชนะ จนถึงวันนั้น Kevin Schwantz ทำให้ผมเห็นแล้วว่าผมคิดผิด
Schwantz ขับ FJ มาตลอดทั้งปี เขาเข้าใจถึงจุดแข็ง จุดอ่อนของรถเป็นอย่างดี Schwantz ได้ใช้ทั้งหมดที่ FJ มีให้เขาในฐานะรถแข่งคันหนึ่ง และในที่สุด นักขับกับรถก็หลอมรวมกัน ขั้นตอนนี้คุณจะเข้าใจได้เองเมื่อมันเกิดขึ้นกับคุณ แม้ว่า FJ จะมีแรงม้าน้อยกว่า FZ ของผมถึง 30 แรงม้า และมีการเตรียมรถที่ไม่ดีนัก แต่คนที่นั่งอยู่หลังแฮนด์นั้นก็ได้แสดงให้เห็นแล้ว เป็นโชคดีของทีมเราที่เพื่อนร่วมทีมของ Schwantz ไม่สามารถควบคุมรถได้ดีเท่าเขา ทีมเราจึงชนะการแข่งครั้งนั้น แต่สิ่งที่ดีที่สุดจากการแข่งครั้งนั้น มันทำให้ผมได้รู้ว่าทักษะของผู้ขับขี่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของรถได้แค่ไหน มันไม่ใช่เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่ง แต่มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
วิศวกรบนเบาะนั่ง
ในขณะที่คุณกำลังทำความเข้าใจกับหนังสือเล่มนี้ การ setup รถ จะลดความสำคัญลง คุณจะได้รู้ว่าจะควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างการและสายตาอย่างไรถึงจะมีผลต่อรถ นักขับคือ วิศวกรบนเบาะนั่ง ที่จะสามารถถ่ายน้ำหนักไปยังด้านหน้ารถ,ด้านหลังรถ ไปยังด้านซ้ายด้านขวาของรถ สามารถเลือกรอบเครื่องยนต์ ซึ่งไม่ได้มีผลแค่การเพิ่มหรือลดความเร็วแต่ยังรวมไปถึง มุมการเอียงของรถ และวงในการเลี้ยว อาการรถส่ายอาจไม่จำเป็นจะต้องใช้โช้คกันสะบัดช่วย ถ้านักขับจับแฮนด์อย่างสบายๆ ถ้า Kevin Schwantz เลือกที่จะบ่นเกี่ยวกับการ setup รถของเขา เขาจะไม่มีทางไต่อันดับใน World Grand Prix ได้ พัฒนาทักษะในตัวของคุณแล้วคุณจะได้ประสิทธิภาพของรถที่ดีทีสุด
การที่จะพัฒนาทักษะการใช้คันเร่ง เบรก คลัทซ์ ให้ดีนั้น ต้องเริ่มมาจาก ท่าทางการนั่งที่ดี ให้ลองนึกถึง การพิมพ์บนแป้นคีย์บอร์ด ขณะที่คุณกำลังวิดพื้น แล้วคุณจะเข้าใจว่าจะไม่มีทางขับขี่ได้ดีหาปราศจากท่านั่งที่ดี
คุณจะเสียความรู้สึกในการรับรู้ช่วงด้านหน้ารถไป นักขับ
ที่นั่งห่างจากถังน้ำมันมาก จะทำให้แขนเหยียดตึงซึ่งทำ
ให้การเลี้ยวเป็นไปได้อย่างไม่สะดวก นอกจากนี้จะทำให้
รถเกิดอาการส่ายและเซไปมา
การนั่งชิดถังน้ำมันจะหน้าท้องชนถัง จะทำให้หลังตั้งตรงและแขนตึง ผลที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การรับรู้ความรู้สึกของช่วงหน้ารถหายไป การบังคับรถไม่ดีเท่าทีควรและขาดความนุ่มนวลต่อเนื่อง นักขับที่นั่งชิดถังน้ำมันจะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกล๊อคตำแหน่ง จะไม่สามารถเคลื่อนช่วงหัวไหล่เพื่อถ่ายน้ำหนักไปยังที่พักเท้าได้สะดวกนัก
ท่าที่ถูกต้อง คือ หว่างขาจะต้องอยู่ห่างถังน้ำมันประมาณ 1 นิ้ว หลังและแขนโค้งเล็กน้อย กำแฮนด์อย่างผ่อนคลาย ด้วยท่านั่งแบบนี้ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การควบคุม คันเร่ง เบรกหน้า เป็นไปอย่างแม่นยำ และทำให้การบังคับเลี้ยว การเอียงตัว ทำได้โดยสะดวก
มันไม่เกี่ยวกับความกล้า
ฮอร์โมนเพศชายและความกล้าบ้าบิ่น นั้นได้รับการเน้นย้ำมากเกินไปในโลกของการแข่งมอเตอร์ไซค์ ความไม่เกรงกลัวนั้นอาจจะใช้ได้กับการโดด บันจี้ จัมพ์ แต่ไม่ใช่ในการขี่มอเตอร์ไซค์บนถนน เทคนิคและสมาธิต่างหาก ที่ควรจะใช้ และเพิ่มเติมด้วย สติปัญญา สัญชาตญาณ และความปารถนาไม่ว่าคุณจะอยากเป็น นักแข่งที่เร็วที่สุดในสนาม หรือ นักขับที่ดีบนท้องถนนก็ตาม แล้วคุณจะรู้สึกประหลาดใจ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ความสามารถในการขับขี่ของคุณนั้นดีขึ้นอย่างมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น